การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพ การพักผ่อน หรือเพียงแค่ต้องการเคลื่อนไหวร่างกายให้กระฉับกระเฉง รองเท้าวิ่งจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน การเลือกคู่ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่ยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกขณะใช้งานและการปกป้องเท้าจากการบาดเจ็บด้วย ในยุคนี้ เทคโนโลยีการผลิตรองเท้ามีการพัฒนาไปไกล ทำให้มีตัวเลือกมากมายที่ออกแบบมาเพื่อการวิ่งในรูปแบบต่างๆ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับรองเท้าวิ่ง 4 รุ่นที่ถูกพูดถึงมาก ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิ่งทั่วโลก โดยเน้นที่คุณสมบัติเด่นและจุดแข็งที่ทำให้แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้งานประจำวัน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งหน้าใหม่หรือคนที่วิ่งมานาน การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อถึงเวลาต้องเลือกคู่ใหม่มาใช้งาน
ASICS Novablast 5 รองเท้าวิ่งที่ครองใจนักวิ่งทุกประเภท
รุ่นนี้ถูกยกย่องว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 9.0 ออนซ์ หรือประมาณ 254 กรัม ทำให้รู้สึกเบาเมื่อสวมใส่ พื้นรองเท้าส่วนกลางใช้เทคโนโลยี FF Blast Max ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช่วยให้การวิ่งนุ่มนวลขึ้น 38.4% และยืดหยุ่นกว่าเดิม 32.2% เมื่อเทียบกับรุ่นทั่วไป ความสูงของพื้นรองเท้าที่ 40.9 มิลลิเมตรบริเวณส้น และ 33.5 มิลลิเมตรบริเวณปลายเท้า มาพร้อมระยะห่างส้นถึงปลายเท้า 8 มิลลิเมตร เหมาะกับนักวิ่งทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือคนที่วิ่งเป็นประจำ
รองเท้าวิ่ง ASICS Novablast 5 คู่นี้ตอบโจทย์ทั้งการวิ่งระยะสั้นแบบสบายๆ ระยะยาว หรือแม้แต่การวิ่งที่ต้องเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น การยึดเกาะได้รับการปรับปรุงด้วยยาง AHAR LO ที่พื้นด้านนอก ทำให้มั่นใจได้มากขึ้นเมื่อวิ่งบนพื้นแห้ง แม้จะยังไม่เหมาะกับพื้นเปียกมากนัก รองเท้ามีความเบาและยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะกับการใช้งานทุกวัน และยังมีตัวเลือกสำหรับคนที่มีหน้าเท้ากว้างด้วย นักวิ่งที่ต้องการรองเท้าทั้งทนทานและให้ความรู้สึกดีตลอดการใช้งาน มักมองว่ารุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่ลงตัว ความพิเศษของพื้นรองเท้าที่ทำจากวัสดุ POE หรือโพลีโอเลฟิน อีลาสโตเมอร์ ช่วยเพิ่มความนุ่มเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าที่ใช้ EVA ทำให้การวิ่งระยะไกลรู้สึกดีขึ้น รูปแบบพื้นสูงแบบแม็กซิมัลลิสต์กำลังเป็นที่นิยมในวงการรองเท้าวิ่ง เพราะช่วยปกป้องข้อต่อได้ดี แม้ว่าอาจจะไม่คล่องตัวเท่ากับรองเท้าพื้นบางสำหรับการวิ่งเร็วก็ตาม
Hoka Mach 6 ตัวเลือกสำหรับคนชอบความเบาและความคล่องตัว
สำหรับคนที่มองหารองเท้าวิ่งน้ำหนักเบา Hoka Mach 6 เป็นรุ่นที่โดดเด่นด้วยน้ำหนักเพียง 8.2 ออนซ์ หรือประมาณ 232 กรัม ซึ่งเบากว่ารองเท้าทั่วไปถึง 12.5% ความสูงของพื้นรองเท้าอยู่ที่ 36.0 มิลลิเมตรบริเวณส้น และ 26.4 มิลลิเมตรบริเวณปลายเท้า รองเท้าคู่นี้เหมาะกับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการวิ่งจังหวะเร็ว หรือการออกกำลังกายที่ต้องเคลื่อนไหวมากขึ้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 4,700 บาท ซึ่งอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณสมบัติที่ได้
รองเท้า Hoka Mach 6 รุ่นนี้เน้นการใช้งานที่ต้องการความว่องไวมากกว่าการรองรับแรงกระแทกสูงสุด ทำให้อาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบรองเท้าพื้นหนานุ่มเป็นพิเศษ นักวิ่งที่เน้นการวิ่งบนถนนและต้องการความเบาในการเคลื่อนไหว มักเลือกคู่นี้เป็นตัวเลือกหลัก การออกแบบเน้นความเรียบง่ายแต่ให้ประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการวิ่งที่ต้องเปลี่ยนจังหวะบ่อยๆ รองเท้ายังเหมาะกับคนที่วิ่งแบบลงน้ำหนักที่ปลายเท้ามากกว่าส้นเท้า เพราะโครงสร้างรองรับการเคลื่อนไหวแบบนี้ได้ดี การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะการวิ่งของแต่ละคน ถ้าชอบความเร็วและความเบา รุ่นนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง แม้ว่าการยึดเกาะอาจต้องระวังเมื่อเจอพื้นเปียก เพราะไม่ได้เน้นหนักที่จุดนี้เท่ารุ่นอื่น
Brooks Ghost 16 ความนุ่มสูงสุดสำหรับคนรักการวิ่งยาว
รองเท้ารุ่นนี้เหมาะกับคนที่ต้องการรองเท้าที่เน้นความนุ่มเป็นพิเศษ พื้นรองเท้าส่วนกลางใช้เทคโนโลยี DNA Loft v3 ทำให้ยืดหยุ่นมากกว่ารองเท้าทั่วไปถึง 53.3% และระยะห่างจากส้นถึงปลายเท้าที่ 12.4 มิลลิเมตร ช่วยให้คนที่ลงน้ำหนักส้นเท้ารู้สึกมั่นคงขึ้น รองเท้าคู่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อการวิ่งระยะยาวหรือการเดินที่ต้องการความนุ่มนวลตลอดเส้นทาง ราคาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในกลุ่มเดียวกัน นักวิ่งที่ชอบความรู้สึกนุ่มและมั่นคง มักมองว่ารองเท้าคู่นี้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า การออกแบบเน้นการรองรับแรงกระแทกสูงสุด เหมาะกับการใช้งานประจำวัน โดยเฉพาะคนที่วิ่งบนถนนเป็นหลัก
รองเท้า Brooks Ghost 16 ยังเหมาะกับคนที่มีหน้าเท้ากว้างหรือต้องการความมั่นคงจากการวิ่งทรงตัว รูปแบบนี้ต่างจาก Hoka Mach 6 ที่เน้นความเบา เพราะ Brooks Ghost 16 ให้ความสำคัญกับการปกป้องและความนุ่มมากกว่า ถ้าต้องการรองเท้าที่ใส่วิ่งยาวๆ หรือเดินนานๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อย รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดี การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับความถนัด ถ้าชอบรองเท้าที่นุ่มและทนทาน คู่นี้จะเป็นตัวเลือกที่ไม่ต้องคิดเยอะ
Hoka Bondi 9 ความหนานุ่มสำหรับการวิ่งช้าและเดิน
รุ่นนี้ที่มาพร้อมพื้นรองเท้าส่วนกลางจากโฟม EVA แบบ supercritical ความสูงของพื้นอยู่ที่ 43 มิลลิเมตรบริเวณส้น และ 38 มิลลิเมตรบริเวณปลายเท้า ระยะห่างส้นถึงปลายเท้า 5 มิลลิเมตร น้ำหนักสำหรับไซส์ผู้ชายเบอร์ 9 อยู่ที่ 10.5 ออนซ์ หรือประมาณ 297 กรัม รองเท้าคู่นี้เหมาะกับการวิ่งช้าหรือการเดินมากกว่าการวิ่งเร็ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 5,716 บาท ซึ่งสูงกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย แต่แลกมาด้วยความนุ่มและการรองรับที่ยอดเยี่ยม
รองเท้า Hoka Bondi 9 เน้นการปกป้องข้อต่อด้วยพื้นหนาแบบแม็กซิมัลลิสต์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในวงการรองเท้าวิ่ง นักวิ่งที่ชอบความนุ่มและมั่นคง หรือคนที่มีปัญหาเท้าแบน มักเลือกคู่นี้เพราะให้ความรู้สึกดีเมื่อใช้งานนานๆ การออกแบบไม่เน้นความว่องไว จึงไม่เหมาะกับคนที่ต้องการวิ่งจังหวะเร็ว แต่ถ้าเน้นการเดินหรือวิ่งช้าเพื่อฟื้นฟูร่างกาย รองเท้าคู่นี้จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ การยึดเกาะพื้นผิวอยู่ในระดับดี แต่ต้องระวังถ้าเจอพื้นเปียก เพราะน้ำหนักที่มากกว่ารุ่นอื่นอาจทำให้ควบคุมได้ยากขึ้น
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนวงการรองเท้าวิ่ง
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีในรองเท้าวิ่งก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยเฉพาะการใช้โฟมชนิดพิเศษ เช่น FF Blast Max ใน ASICS หรือ supercritical EVA ใน Hoka ที่ช่วยเพิ่มความนุ่มและการเด้งตัวขณะวิ่ง วัสดุอย่าง POE ก็เริ่มเข้ามาแทนที่ EVA แบบเก่า เพราะให้สัมผัสที่นุ่มกว่าและทนทานกว่า การออกแบบพื้นรองเท้าแบบหนาขึ้น หรือที่เรียกว่าแม็กซิมัลลิสต์ กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่เน้นการปกป้องข้อเท้าและเข่า ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่นิยมพื้นบางเพื่อความคล่องตัว การปรับปรุงยางที่พื้นด้านนอก เช่น AHAR LO ก็ช่วยให้รองเท้ายึดเกาะพื้นได้ดีขึ้น โดยเฉพาะบนถนนในเมือง
การเลือกให้เหมาะกับลักษณะการวิ่ง
การเลือกรองเท้าวิ่งขึ้นอยู่กับลักษณะการวิ่งและความต้องการส่วนตัว ถ้าวิ่งแบบลงน้ำหนักที่ส้นเท้า Brooks Ghost 16 จะให้ความมั่นคง แต่ถ้าลงน้ำหนักที่ปลายเท้า Hoka Mach 6 จะเหมาะกว่า คนที่มีหน้าเท้ากว้างควรลอง ASICS Novablast 5 ที่มีตัวเลือกพิเศษ หรือถ้ามีเท้าแบน Hoka Bondi 9 จะช่วยเรื่องความมั่นคงได้ดี การวิ่งแบบผสมจังหวะทั้งช้าและเร็ว ASICS Novablast 5 จะครอบคลุมทุกอย่าง แต่ถ้าเน้นการวิ่งฟื้นฟูหรือเดิน Hoka Bondi 9 จะดีกว่า รองเท้าส่วนใหญ่เหมาะกับถนนมากกว่าทางวิบาก ควรเช็กการยึดเกาะถ้าต้องวิ่งในสภาพอากาศเปียกชื้น การลองสวมควรเว้นระยะปลายเท้าไว้ประมาณหนึ่งนิ้วหัวแม่มือ เพื่อให้รู้สึกสบายตลอดการใช้งาน ร้านค้าบางแห่งมีนโยบายคืนสินค้าถ้าลองแล้วไม่เหมาะ ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น