เวลาคุณคิดจะซื้ออุปกรณ์ใหม่สักชิ้น คงอยากได้อะไรที่เหมาะกับการใช้งานจริงๆ iPad Air และ MacBook Air ซึ่งทั้งคู่มันมีเสน่ห์ต่างกันไป คุณเคยมองสองตัวนี้แล้วรู้สึกว่ามันน่าสนใจไหม หยิบทั้งคู่มาเปรียบเทียบกัน บางวันอยากได้อะไรที่เบาๆ พกไปไหนมาไหนได้ง่าย แต่บางวันก็อยากได้เครื่องที่จัดการงานหนักๆ ได้ดีกว่า บทความนี้ คุณจะได้เห็นมุมมองและแนวทางที่ช่วยให้คุณมองภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังคิดอยู่ว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างสองตัวนี้ iPad Air กับ MacBook Air มาดูกันดีกว่าว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ความต้องการใช้งานทั่วไป
การเลือกซื้อ iPad Air หรือ MacBook Air ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการใช้ในแต่ละวัน ถ้าคุณอยากได้เครื่องสำหรับประชุมออนไลน์ ดู Netflix จัดการอีเมล หรือเล่นโซเชียลมีเดีย iPad Air ทำได้ดีมาก คุณสามารถพกมันไปไหนมาไหนได้ง่าย เปิดแอปอย่าง Ookbee อ่านหนังสือได้สะดวก โดยเฉพาะถ้าที่ทำงานให้สิทธิ์ระดับ Premium Unlimited การซูมเข้าออกหรือเปลี่ยนหน้าในแอปอ่านหนังสือบน iPad Air นั้นทำได้คล่องตัวกว่า MacBook Air เยอะ
ถ้าคุณต้องทำงานด้านการแต่งภาพด้วย Lightroom แบบไม่หนักมาก iPad Air ก็จัดการได้ดี มีแอปให้เลือกใช้เยอะ แถมถ้าต้องการใช้งานนอกสถานที่เกินชั่วโมง รุ่น Cellular ที่รองรับ 4G หรือ 5G จะช่วยให้คุณออนไลน์ได้ทุกที่ แต่ถ้าคุณเจอสถานการณ์ที่คอมพิวเตอร์ที่ทำงานบล็อก Gmail Yahoo Hotmail และโซเชียลมีเดียทุกอย่าง MacBook Air อาจเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้ เพราะมันเป็นเครื่องส่วนตัวที่ไม่ติดข้อจำกัดของที่ทำงาน คุณจะจัดการอีเมลหรือเข้าเว็บได้อิสระมากขึ้น แถมเรื่องพกพาก็ยังอยู่ในระดับที่รับได้ ถ้าคุณเพิ่มคีย์บอร์ดเข้าไปกับ iPad Air มันก็ใช้งานได้กว้างขึ้น แต่ถ้าเทียบกันแล้ว MacBook Air จะเหมาะกับงานที่ต้องใช้พลังเยอะหรือต้องการความยืดหยุ่นมากกว่า โดยเฉพาะถ้าคุณต้องเดินทางบ่อย iPad Air อาจเบากว่า แต่ MacBook Air ก็ไม่ได้หนักจนเกินไป
การเรียนออนไลน์และการลงโปรแกรม
ถ้าใช้ iPad Air เรียนออนไลน์คงไม่มีปัญหา แต่พอเจอคอร์สที่ต้องลงโปรแกรมพิเศษ ความคิดนั้นเปลี่ยนไปทันที iPad Air ลงโปรแกรมได้เฉพาะผ่าน App Store เท่านั้น ถ้าคุณเจอซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งแบบไฟล์ installer หรือโปรแกรมอย่าง Xcode SPSS หรือ Homebrew คุณจะทำไม่ได้เลย MacBook Air กลับจัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่า เพราะมันลงโปรแกรมได้หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยหรือโปรแกรมที่ต้องใช้ Parallels เพื่อรันระบบอย่าง iThesis คุณจะพบว่า iPad Air มีขีดจำกัดเยอะ ถ้าคุณเรียนออนไลน์นานๆ เช่น 2-3 ชั่วโมง iPad Air อาจร้อนจนน่ากังวล แต่ MacBook Air ทนทานกว่านี้มาก
ถ้าคุณคิดจะซื้อ iPad Air แล้วเพิ่มโน้ตบุ๊กสเปคพื้นฐานราคา 8,500-12,000 บาทมาเสริม มันอาจช่วยได้ในบางกรณี แต่ถ้าเทียบกับการซื้อ MacBook Air มือสองราคาไม่แพงมาใช้คู่กับ iPad คุณจะได้ประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะถ้าคุณต้องลงซอฟต์แวร์ที่ iPad Air รองรับไม่ครบ มองว่า MacBook Air เหมาะกับการเรียนที่ต้องใช้เครื่องมือเยอะ แต่ถ้าคุณแค่ดูคอร์สเบาๆ iPad Air ก็ยังน่าพิจารณา
งานสร้างสรรค์และการแต่งภาพ
iPad Air เหมาะกับงานสร้างสรรค์มาก ถ้าคุณใช้ Apple Pencil วาดรูปหรือจดโน้ต มันจะให้ความรู้สึกที่ MacBook Air เทียบไม่ได้ การแต่งภาพด้วย Lightroom บน iPad Air ทำได้ดีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะงานเบาๆ คุณจะพบว่าแอปบน iPad มีตัวเลือกเยอะและใช้งานง่าย แต่ถ้าคุณต้องการ Adobe Photoshop หรือ Lightroom เวอร์ชันเต็ม MacBook Air จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะ iPad Air มีแค่เวอร์ชันที่ปรับให้เหมาะกับแอป ซึ่งฟังก์ชันไม่ครบเท่า บางครั้งการซูมงานกราฟิกหรือจัดการไฟล์หนักๆ บน iPad Air อาจช้า แต่ MacBook Air เร็วกว่าเยอะ ถ้าคุณทำงาน 3D หรือตัดต่อวิดีโอหนักๆ เช่น ใช้ Final Cut Pro iPad Air ทำได้แค่เบาๆ เท่านั้น MacBook Air จะเหมาะกับงานที่ต้องการพลังเยอะกว่า ถ้าคุณเน้นงานวาดจริงจัง iPad Air ชนะขาด แต่ถ้าคุณต้องตัดต่อหรือจัดการโปรเจกต์ใหญ่ MacBook Air จะดีกว่าแน่นอน
การจัดการเอกสารและงาน Multi-tasking
MacBook Air เหนือกว่า iPad Air มากในเรื่องงานเอกสาร Microsoft Office บน iPad Air เป็นเวอร์ชันแอปที่คล้ายมือถือ คุณแก้ไขได้แค่พื้นฐาน ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใส่ Page Number หรือจัดการไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน แต่ MacBook Air ให้ประสบการณ์แบบ Desktop เต็มรูปแบบ คุณจะลากไฟล์ไปมาระหว่างโฟลเดอร์หรือคัดลอกข้อมูลจากเมลลงเครื่องได้ง่ายกว่า iPad Air ที่ระบบ My Files ไม่คล่องตัวเท่า Finder ถ้าคุณต้องทำงาน Multi-tasking เช่น เปิด Teams แชร์หน้าจอ ปรับ Excel แล้วคัดลอกข้อมูลจาก Chrome ไปวางใน Teams พร้อมไฮไลต์ข้อความ iPad Air จะทำให้คุณเหนื่อย เพราะมันสลับหน้าต่างหลายโปรแกรมพร้อมกันได้ไม่ดี แต่ MacBook Air จัดการได้คล่องตัวมาก คุณจะเห็นว่า iPad Air เหมาะกับงานดูมากกว่าทำ ส่วน MacBook Air เหมาะกับงานที่ต้องพิมพ์เยอะหรือจัดการไฟล์หลายอย่างพร้อมกัน
การเขียนโค้ดและงาน Wordpress
ถ้าคุณต้องเขียนโค้ด iPad Air ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด มันลง IDE แบบที่ใช้บน Windows หรือ Mac ไม่ได้ คุณต้องพึ่งแอปใน App Store ซึ่งอาจไม่ครบเครื่องเท่า MacBook Air ที่รองรับงาน Coding หนักๆ ได้ดีกว่า ถ้าคุณเขียนแอป iOS ต้องใช้ Xcode ซึ่งมีแค่บน MacBook Air เท่านั้น ส่วนงาน Wordpress บน iPad Air ทำได้บ้าง เช่น งานด่วน แต่ไม่เต็มที่เท่า MacBook Air เพราะ Page Builder บางตัวใช้งานไม่ได้ และการดู Responsive Design ลำบาก คุณจะวางเลย์เอาต์ยาก เพราะ iPad Air ไม่แสดงผลแบบ Desktop จริงๆ แต่ MacBook Air ให้มุมมองที่ชัดเจนกว่า มองว่า MacBook Air เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ ส่วน iPad Air เหมาะกับงานแก้ไขเบื้องต้นเท่านั้น
การพิมพ์และการเชื่อมต่อ
iPad Air มีปัญหาเรื่องการพิมพ์ มันสั่งพิมพ์ผ่าน USB ไม่ได้ รองรับแค่ AirPrint ซึ่งเครื่องพิมพ์ที่ใช้ AirPrint มีไม่เยอะ คุณอาจเจอปัญหาถ้าต้องพิมพ์งานเอกสารบ่อยๆ แต่ MacBook Air ไม่มีข้อจำกัดนี้ คุณจะเสียบเครื่องพิมพ์ผ่านสายหรือใช้ AirPrint ก็ได้ ถ้าคุณทำงานที่ต้องพิมพ์เยอะ MacBook Air จะช่วยได้มากกว่า iPad Air ที่เหมาะกับงานที่ไม่เน้นพิมพ์ คิดว่านี่เป็นจุดที่ทำให้ MacBook Air เหมาะกับงานเอกสารมากกว่า
ข้อเสนอสำหรับการใช้งานทั้งสองเครื่อง
ถ้าคุณมีงบซื้อทั้ง iPad Air และ MacBook Air จะดีที่สุด คุณอาจปรับ iPad Air เป็นรุ่นถูกกว่า เช่น iPad Gen 9 แล้วใช้คู่กับ MacBook Air เพื่อให้ครอบคลุมทุกงาน หรือถ้าคุณต้องเลือกเครื่องเดียว MacBook Air จะจบกว่า เพราะมันจัดการได้ทั้งงานเบาและหนัก แต่ถ้าคุณเน้นพกพาและงานสร้างสรรค์ iPad Air ยังน่าสนใจ คุณอาจลองซื้อ iPad Mini มาอ่านหนังสือระหว่างเดินทาง แล้วใช้ MacBook Air ทำงานหนักก็ได้ ทั้งสองเครื่องมีจุดเด่นต่างกัน คุณควรเลือกตามงานที่ทำบ่อยที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น